วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วิกฤตน้ำมัน

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก พุ่งทะยาน จาก 129 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น 135 ดอลลาร์ ในเวลาห่างกันเพียงวันเดียว โลกกำลังจะ เผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 3 หรือเพียงแค่สร้างคลื่นภาวะเศรษฐกิจที่เรียกว่า Stagflation ให้แผ่ขยายไปทั่วโลก ราคาน้ำมันดิบในตลาด ณ วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (22 พ.ค.) เคลื่อนไหวอยู่เหนือ 135 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากทำสถิติที่ 135.04 ดอลลาร์ เมื่อค่ำคืนก่อน โดยไม่มีใครรู้ว่า แรงทะยานล่าสุด จะนำพาน้ำมันดิบไปไกลถึงระดับใด 140 ดอลลาร์ หรือ 150 ดอลลาร์ หรือ 200 ดอลลาร์ในอนาคตอันใกล้ ดังคำทำนายของ "โหรตลาดน้ำมัน" อาร์จัน มูรติ นักวิเคราะห์จากค่ายโกลด์แมน แซกส์ ตัวเร่งที่ทำให้ราคา น้ำมันดิบวิ่งไปเร็ว มาจากความต้องการจากประเทศผู้บริโภครายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะจีน ซึ่งใน ขณะนี้เผชิญปัญหาขาดแคลนถ่านหิน และภัยพิบัติจากเหตุแผ่นดินไหว ต้องปิดโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าไปหลายสิบโรงชั่วคราว แต่ความต้องการพลังงานของจีนจะเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันโอลิมปิก กีฬาระดับโลก ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของประเทศ โอกาสที่การ นำเข้าน้ำมันจากระดับปกติอย่างมาก ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่ สหรัฐเอง ถึงสภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปจะถูกตีตราว่าเป็นช่วงชะลอตัว จวนเจียนจะถดถอย แต่การบริโภคน้ำมันก็ยังมีในปริมาณที่มาก ประกอบกับนโยบายตุนน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ก็มีส่วนแม้จะมีความพยายามในระยะหลังๆ ให้ระงับการนำเข้าน้ำมันมาเติมในคลังสำรองก็ตาม
นอกจากนี้ ในตลาดน้ำมันมีปัจจัยครอบงำอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นกับแหล่งผลิตบ่อยครั้ง เริ่มจากไนจีเรีย ที่มักจะเผชิญกับการโจมตีฐานขุดเจาะน้ำมัน จากกลุ่มกบฏเป็นระยะๆ ไนจีเรีย มีความสำคัญต่อตลาดน้ำมัน เพราะเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด ในกาฬทวีป หรือความไม่สงบในอิรัก ที่ทำให้การผลิตน้ำมันจากประเทศนี้ลดน้อยลงไป ปัญหาการเผชิญหน้า ระหว่างสหรัฐ กับอิหร่าน เพิ่มอุณหภูมิความวิตกด้านผล กระทบต่ออุปทานให้โหมแรงยิ่งขึ้น เพราะอิหร่านเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก หรือ โอเปก ที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่ม หากเกิดความรุนแรงใดๆ ขึ้นมา จะกระทบต่อการส่งออกจากประเทศนี้ทันที นับจากกันยายน 2544 ซึ่งช่วงนั้นราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันกำลังวิ่งขึ้น ในลักษณะที่โกลด์แมน แซกส์ ทำนายว่า มีสิทธิเห็นน้ำมันที่ 150-200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายใน 6 เดือน-2 ปีข้างหน้า นับถึงระดับราคาปัจจุบัน ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูดขึ้นกว่า 500% มองจากสภาพการณ์ ณ ปัจจุบัน คำทำนายเกี่ยวกับวิกฤตราคาน้ำมันครั้งที่ 3 กำลังดังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ ย้อนมองอดีต ก่อนเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งแรก ราคาน้ำมันแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ในปี 2491 ราคาอยู่ที่ระดับเพียง 2.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 9 ปีต่อมา ราคาขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปี 2500 อีก 15 ปีต่อมา ราคายังคงที่ระดับ 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
กระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ครั้งที่ 1 ในปี 2515-2517 ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งทะยานขึ้นกว่า 300% ชนวนเหตุของวิกฤตราคาน้ำมันครั้งแรก เริ่มต้นเมื่ออียิปต์และซีเรียโจมตีอิสราเอล ในเดือนธันวาคม 2516 สหรัฐ และพันธมิตรตะวันตก รวมถึงญี่ปุ่น ยืนข้างอิสราเอล ขณะที่สมาชิกของโอเปก ซึ่งในช่วงเวลานั้น ยังมีเพียงซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน อิรัก อาบูดาบี คูเวต และกาตาร์ ตัดสินใจจำกัดการส่งออกน้ำมันดิบไปให้กับสหรัฐ เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส โรดิเซีย แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และอังกฤษ
ราคา น้ำมันปรับเพิ่มจาก 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขึ้นไป 17% เป็น 12 ดอลลาร์ ถือเป็นการพุ่งทะยานที่รวดเร็วมาก 300% ในเวลาเพียง 3 ปี กระทั่ง โลกย่างเข้าสู่วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 จากจุดปะทุของสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบแรก โดยมีชนวนมาจากการสงครามระหว่างอิรัก และคูเวต ในช่วงแรกของ วิกฤตการณ์น้ำมัน ราคาทะยานจากระดับ 13.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปี 2521 เพิ่มเป็นประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นประมาณ 490% ประเทศที่ได้รับผลกระทบมีเป็นจำนวนมาก แต่หนึ่งในนั้นที่ได้รับมากที่สุด คือ สหรัฐ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกา ต้องปรับปรุงการผลิต เพื่อให้สนองตอบต่อภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิง ในมิติด้านเงินเฟ้อ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เป็นประเทศในทวีปแอฟริกา
อาทิ แซมเบีย จากระดับ 18% ใน ปี 2524 เป็น 80% ในปี 2533 และในอีก 1 ปีถัดมา อัตราเงินเฟ้อก็พุ่งพรวดไปที่ 120% ขณะที่อังกฤษ เผชิญปัญหาว่างงาน มากถึง 3.1 ล้านคนในปี 2525 ออสเตรเลีย เพิ่มจาก 6% ในปี 2523 เป็น 9% ใน ปี 2527 และกลับลงมาที่ 6% ในปี 2529
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่วิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบสอง (ระหว่างสิงหาคม 2533-กุมภาพันธ์ 2534 แรงกระทบจากปัญหาสงครามครั้งนั้น มีแรงกดดันต่อราคาไม่มากเหมือนรอบแรก โดยดันราคาขยับขึ้นเพียง 8% ความ เสี่ยงของวิกฤตราคาน้ำมันกำลังฉายภาพชัดมากขึ้น ราคาจากปี 2544 เทียบปัจจุบัน ซึ่งราคาวิ่งทะลุระดับ 120 ดอลลาร์ ขึ้นมาแล้ว นั่นหมายความว่า ในช่วงเวลา 7 ปี ราคาน้ำมันได้ขยับขึ้นมาราว 500% แล้ว ชนวน เหตุของการขยับขึ้นครั้งใหม่ มาจากการวินาศกรรมตึกแฝด "เวิรลด์เทรด เซ็นเตอร์" ในสหรัฐ เมื่อวันที่ 11 เดือนกันยายน 2544 ตามด้วยปฏิบัติการบดขยี้อิรัก ของสหรัฐ และการส่งกองกำลังไปไล่ล่ากลุ่มก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน แถมยังมีปัจจัยอุปสงค์อุปทานเข้ามาเป็นแรงบวก โดยเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างรวดเร็วของจีน ทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงมีมากเป็นทวีคูณ ในแง่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันกลั่นที่ถีบตัวตามราคาน้ำมันดิบ กำลังกัดกร่อนอำนาจซื้อของคนทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งได้ชื่อมีการบริโภคน้ำมันมากที่สุด ทั้งสหรัฐยังถูกตีขนาบด้วยวิกฤตการณ์สินเชื่อ ซึ่งมีจุดเริ่มมาจากปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อด้อยมาตรฐาน (ซับไพรม) ส่งผลให้เจ้าของบ้านหลายพันหลังถูกยึดทรัพย์ และตัวเลขว่างงานกำลังขยับขึ้น ญี่ปุ่น และสเปน ซึ่งมีการบริโภคน้ำมันมากเป็นอันดับรองๆ ลงมา ยากจะหนีผลกระทบได้พ้น เช่นเดียวกับหลายประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบรุนแรงไม่แพ้กัน

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

การดูแลรักษากีต้าร์



การดูแลรักษากีต้าร์ มีดังนี้


1.) หมั่นทำความสะอาดกีต้าร์บ่อยๆ โดยเฉพาะสายกีต้าร์ที่มักจะขึ้นสนิม เป็นไปได้ควรทำทุกครั้งที่เล่นเสร็จ เพราะขณะที่เราเล่น จะมีเหงื่อติดอยู่ที่สายกีตาร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ส่วนวิธีการทำความสะอาดนั้น ควรใช้ผ้านุ้มๆ ไม่ต้องชุ้บน้ำเช็ด ถ้าเป็นไปได้ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดกีต้าโดยเฉพาะ
2.) เก็บไว้ในที่ที่ไม่ร้อนเกินไป ไม่ควรเก็บไว้ที่สูงและควรเก็บไว้ในกล่องหรือถุงสำหรับใส่กีต้าร์เพื่อป้องกันการกระแทกและรอยขีดข่วน
3.) ถ้ารู้ว่าจะไม่ได้เล่นกีต้าร์นานๆ เช่นเป็นเดือน ควรผ่อนสายกีต้าร์ให้หย่อน เพื่อเป็นการถนอมสายและคอกีต้าร์ และลูกบิด
เพียงเท่านี้กีต้าร์ของคุณก็จะมีเสียงที่ไพเราะไปอีกนานครับ